
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) บริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์สได้ว่าจ้างคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ผู้กำกับภาพยนตร์จากเรื่อง ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ (Memento, ค.ศ. 2000) ให้มากำกับภาพยนตร์แบทแมนเรื่องนี้ แต่ในขณะนั้นยังไม่ถูกตั้งชื่อ[17] หลังจากนั้นสองเดือน ก็ได้เซ็นสัญญากับเดวิด เอส. โกเยอร์ ให้มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์[18] โนแลนด์กล่าวถึงการทำงานครั้งนี้ว่า เขาตั้งใจที่จะนำเสนอภาพยนตร์แบทแมนในรูปแบบใหม่ โดย "จะสร้างเรื่องราวที่เป็นต้นกำเนิดของตัวละคร ที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน" โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจในส่วนนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง ซูเปอร์แมน (Superman, ค.ศ. 1978) ของ ริชาร์ด ดอนเนอร์ ที่เน้นการเล่าเรื่องถึงการเติบโตของตัวละครเป็นหลัก[3] นอกจากนั้น เขายังจะนำความเป็นมนุษย์และ ความเหมือนจริงมาใช้เป็นพื้นฐานอีกด้วย ตามที่เขาได้กล่าวว่า "โลกของแบทแมนจะต้องมีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงที่สามารถรับรู้ได้ ร่วมสมัย และฝืนจินตนาการความเป็นวีรบุรุษเกินจริง" ส่วนโกเยอร์กล่าวว่า เป้าประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการทำให้ผู้ชมสนใจทั้งตัวแบทแมนและบรูซ เวย์น[19]
เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูนแบทแมนตอนต่าง ๆ ได้แก่ แบทแมน : เดอะแมนฮูฟอลส์ เรื่องสั้นที่เล่าถึงการเดินทางทั่วโลกของบรูซ เวย์น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดฉากที่บรูซในวัยเด็กพลัดตกลงไปในบ่อน้ำ ในช่วงแรก ๆ ของภาพยนตร์[20] เนื้อเรื่องของ แบทแมน : เดอะลองฮัลโลวีน ประพันธ์โดย เจฟ โลบ และวาดโดย ทิม เซล ก็ส่งอิทธิพลต่อโกเยอร์ในการประพันธ์บทภาพยนตร์ และการออกแบบตัวละคร คาร์ไมน์ ฟัลโคนี[20] ส่วน แบทแมน : ดาร์กวิคทอรี (Batman : Dark Victory) ภาคต่อของภาค เดอะลองฮัลโลวีน ก็ส่งอิทธิพลมาถึงภาพยนตร์ไม่แพ้กัน[21] นอกจากนั้น โกเยอร์ยังได้นำรายละเอียดหลาย ๆ ส่วนจาก แบทแมน : เยียร์วัน ของ แฟรงก์ มิลเลอร์ ทั้งโครงเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาตำรวจคอร์รัปชันที่บีบบังคับให้จ่าจิม กอร์ดอน และเมืองกอตแทมต้องการคนอย่างแบทแมนมาช่วยเหลือ เนื้อเรื่องตอนที่บรูซหายตัวไปจากเมืองกอตแทมอย่างขาดสติ[22] รวมไปถึงรายละเอียดของตัวละครจิม กอร์ดอน[20] มาใส่ไว้ในบทภาพยนตร์ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น