วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แบทแมน บีกินส์




แบทแมน บีกินส์ (อังกฤษ : Batman Begins) คือ ภาพยนตร์ชุดแบทแมนลำดับที่ 5 เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน นำแสดงโดย คริสเตียน เบล, ไมเคิล เคน, เลียม นีสัน, แคที โฮล์มส์, แกรี โอลด์แมน, ซิลเลียน เมอร์ฟี, มอร์แกน ฟรีแมน, ทอม วิลคินสัน, Rutger Hauer และเค็ง วะตะนะเบะ

เนื้อเรื่องของภาพยนตร์แบทแมนภาคนี้เป็นอิสระจากภาพยนตร์ชุดแบทแมนที่ สร้างมาก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง โดยมีโครงเรื่องที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของตัวละครแบทแมน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเส้นเรื่องของหนังสือการ์ตูนชุดแบทแมนดั้งเดิม เช่น แบทแมน : เดอะแมนฮูฟอลส์ (Batman: The Man Who Falls) แบทแมน : เยียร์วัน (Batman: Year One) และ แบทแมน : เดอะลองฮัลโลวีน (Batman: The Long Halloween)

ที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ มาจากความคิดของคริสโตเฟอร์ โนแลน และเดวิด เอส. โกเยอร์ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) ที่มาร่วมงานกันเมื่อช่วงต้นปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) ซึ่งภาคนี้ถือเป็นภาพยนตร์แบทแมนเรื่องแรก หลังจากที่ภาค แบทแมนแอนด์โรบิน (Batman & Robin) เมื่อ ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบและประสบความล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ โดยในภาคนี้ เขาทั้งสองคนได้ดัดแปลงให้มีโทนสีมืดและมีความสมจริงของเนื้อเรื่องมากกว่า ที่ภาคที่ผ่านมา

การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้วิธีการแสดงผาดโผนแบบดั้งเดิมและอาศัยการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ไม่มาก นัก โดยสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำในเบื้องต้น คือ อังกฤษและชิคาโก

แบทแมน บีกินส์ ได้รับกระแสที่ดีทั้งจากคำวิจารณ์และการตอบรับเชิงพาณิชย์ โดยได้มีการสร้างภาพยนตร์ภาคต่อชื่อว่า แบทแมน อัศวินรัตติกาล (The Dark Knight) ขึ้นมา ซึ่งออกฉายในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน และนำแสดงโดยคริสเตียน เบล เช่นเดิม

เนื้องเรื่องย่อ

เมื่ออายุ 8 ขวบ บรูซ เวย์น (กัส เลวิส) ได้พลัดตกลงไปในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งบริเวณคฤหาสน์ที่เขาอาศัย ณ ที่นั้น เขาได้เผชิญหน้ากับฝูงค้างคาวขนาดใหญ่ พวกมันได้ฝังความกลัวค้างคาวในใจของเขาตั้งแต่นั้นมา วันหนึ่ง พ่อและแม่ของเขาได้พาเขาไปชมละครเวที ในละครเรื่องนั้นประกอบไปด้วยตัวละครที่มีลักษณะคล้ายค้างคาว เมื่อพวกมันปรากฏตัว เวย์นก็เกิดความกลัวและเร่งเร้าให้พ่อและแม่พาเขากลับบ้าน หลังจากที่เดินออกจากโรงละครแห่งนั้น พ่อและแม่ของเวย์นก็ถูกสังหารโดยโจรจี้ปล้นที่ชื่อ โจ ชิลล์ (ริชาร์ด เบรก) ซึ่งถูกจับกุมอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เวย์นเฝ้าโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต

หลายปีต่อมา หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน บรูซ เวย์น (คริสเตียน เบล) ก็เดินทางกลับมายังเมืองกอตแทม บ้านเกิดของเขาอีกครั้งเพื่อมาฆ่าชิลล์ ที่ขณะนั้นถูกศาลเลื่อนการตัดสินคดีฆาตกรรมพ่อและแม่ของเขาไป เพื่อใช้เป็นพยานให้การในคดีความของผู้ทรงอิทธิพลที่ชื่อ คาร์ไมน์ ฟัลโคนี (ทอม วิลคินสัน) แต่ก่อนที่เวย์นจะลงมือ หนึ่งในลูกน้องของฟัลโคนีก็ชิงสังหารชิลล์ไปเสียก่อน เวย์นได้เล่าแผนการณ์ที่ล้มเหลวของเขาให้ แรเชล ดอวส์ (แคที โฮล์มส์) เพื่อนสนิทหญิงตั้งแต่วัยเด็กฟัง เมื่อได้รับรู้แผนการดังกล่าว เธอก็แสดงความรังเกียจต่อแผนการณ์แก้แค้นอันหน้ามืดตามัวและไม่ตระหนักถึง ความยุติธรรมของเขา

ครั้งหนึ่ง เวย์นได้ไปเผชิญหน้ากับฟัลโคนี ผู้ซึ่งกล่าวกับเขาว่า ตัวเขานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติของอาชญากรรมเลย จากคำพูดดังกล่าว เวย์นได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปในมุมต่าง ๆ ของโลก เพื่อทำความเข้าใจจิตวิญญาณของการเป็นอาชญากร ประมาณ 7 ปีหลังจากนั้น เวย์นก็ถูกจับกุมที่ประเทศจีนโทษฐานที่เป็นขโมยและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำของชาวภูฏาน ณ ที่แห่งนั้น เขาได้พบกับ เฮนรี ดูคาร์ด (เลียม นีสัน) ผู้ซึ่งเชิญให้เขาไปเข้าร่วมกับกลุ่มศาลเตี้ยชั้นนำที่ชื่อ สหพันธ์แห่งเงา (League of Shadows) ที่นำโดยหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ ราส์ อัลกูห์น (เค็ง วะตะนะเบะ) เวย์นได้เดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มตามคำเชิญ เขาได้รับการต้อนรับ เลี้ยงอาหาร และฝึกวิชาการสู้รบร่วมกับกลุ่มทุกรูปแบบ โดยมีดูคาร์ดเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอน จนเขาสามารถขจัดความกลัวในวัยเด็กของเขาได้ แต่เมื่อเขาได้รู้ว่า กลุ่มตั้งใจจะใช้เขาเพื่อเป็นเครื่องมือทำลายเมืองกอตแทม เขาจึงปฏิเสธความตั้งใจนั้นด้วยการทำลายฐานบัญชาการของกลุ่มและสังหารราส์ อัลกูล ขณะที่ฐานบัญชาการถล่มจนเป็นซากหักพัง เวย์นได้ช่วยชีวิตดูคาร์ดที่กำลังหมดสติเอาไว้ และนำเขาไปพักรักษาตัวในหมู่บ้านแถบนั้น

บรูซ เวย์น กลับมาสู่เมืองกอตแทมอีกครั้ง ขณะนั้น เมืองเกือบทั้งเมืองกำลังตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟัลโคนี เวย์นจึงวางแผนที่จะทำสงครามกับระบบฉ้อฉลของฟัลโคนีด้วยตัวคนเดียว เขาได้แลกเปลี่ยนความช่วยเหลือกับดอวส์ ที่กำลังดำรงตำแหน่งอัยการเขต และจ่า จิม กอร์ดอน (แกรี โอลด์แมน) นายตำรวจที่เคยปลอบขวัญเขาหลังจากที่พ่อและแม่ของเขาถูกฆ่า และหลังจากที่เวย์นสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับบริษัท เวย์นเอนเตอร์ไพรซส์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ วิลเลียม เออรล์ (Rutger Hauer) เขาก็ได้รับความช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นรถหุ้มเกราะ ชุดเกราะ รวมไปถึงนวตกรรมใหม่ ๆ จากอดีตกรรมการของบริษัทที่ชื่อ ลูเซียส ฟอกซ์ (มอร์แกน ฟรีแมน) เพื่อนำมาใช้สร้างชุดเครื่องแบบแบทแมน

ภายใต้เครื่องแบบใหม่และความสามารถของอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ได้เปรียบ เวย์นได้ลอบทำลายกระบวนการขนส่งยาเสพติดทาง เรือของฟัลโคนี และจับตัวฟัลโคนีไปมัดไว้กับไฟฉายดวงใหญ่บนยอดอาคารสูง และช่วยเหลือดอวส์จากการถูกลอบสังหารโดยคนของฟัลโคนี และได้ทิ้งหลักฐานที่จะใช้เอาผิดเกี่ยวกับบัญชีเงินเดือนของฟัลโคนีให้เธอ

วันหนึ่ง ขณะที่บรูซ เวย์น ในคราบแบทแมนกำลังออกสืบสวนหายาที่ "ผิดปกติ" อยู่นั้น เขาก็ถูกพ่นสารเคมีหลอนประสาทที่มีฤทธิ์รุนแรงใส่ โดยนักจิตเภสัชวิทยาที่ชื่อ ดร. โจนาทาน เครน (ซิลเลียน เมอร์ฟี) ฤทธิ์ยาทำให้เขาประสาทหลอน แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก อัลเฟรด เพนนีเวิร์ท (ไมเคิล เคน) หัวหน้าคนรับใช้ประจำตระกูล ด้วยยาแก้พิษที่พัฒนาโดยฟอกซ์

ต่อมา หลังจากที่ดอวส์ออกสืบหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับฟัลโคนีจนไปพบแผนการของ ดร. เครน ที่จะละลายสารพิษไปตามระบบประปาของ เมืองกอตแทม เธอก็ถูกสารเคมีหลอนประสาทจากเครน แต่แบทแมนก็เข้ามาช่วยเธอไว้ได้ทัน และจัดการกับเครนด้วยสารเคมีของเขาเอง ตำรวจเข้ามาจับกุมเคนไว้ได้ ขณะที่แบทแมนพาดอวส์รบหนีไปที่ถ้ำค้างคาว หลังจากที่แบทแมนฉีดยาถอนพิษให้แก่ดอวส์แล้ว เขาก็ฝากยาถอนพิษอีก 2 ขวดให้เธอนำไปให้จ่ากอร์ดอน โดยขวดหนึ่งฉีดเข้าตัวของจ่ากอร์ดอนเอง ส่วนอีกขวดให้นำไปผลิตเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน

ขณะที่เวย์นจัดงานฉลองวันเกิดของเขาที่คฤหาสน์เวย์น เขาได้เผชิญหน้ากับดูคาร์ดและกลุ่มนินจาจาก สหพันธ์แห่งเงา ดูคาร์ดได้เปิดเผยว่าตัวเขาเองคือราส์ อัลกูล ส่วนคนที่เวย์นฆ่านั้นเป็นตัวปลอม ราส์ได้กล่าวถึงแผนการที่จะล้างเมืองกอตแทมให้ปลอดจากมลทินและความฉ้อฉล ด้วยการแพร่สารพิษของเครนลงสู่ระบบประปาของเมือง และทำให้มันละเหยเป็นไอด้วยเครื่องยิงคลื่นไมโครเวฟที่ขโมยมาจากเวย์นเอนเตอร์ไพรซส์ เมื่อได้ยินดังนั้น เวย์นจึงล่อให้แขกในงานทั้งหมดออกไปจากคฤหาสน์โดย การทำทีว่าเมาและกล่าวคำไม่สุภาพ หลังจากนั้น เขาจึงต่อสู้กับราส์ในขณะที่คฤหาสน์ถูกวางเพลิงโดยกลุ่มสหพันธ์แห่งเงา เวย์นเสียท่าแก่ราส์และคฤหาสน์ก็เริ่มพังทลาย แต่ด้วยความช่วยเหลือของอัลเฟรดทำให้เขารอดชีวิตมาได้

หลังจากเปลี่ยนตัวตนเป็นแบทแมน เขาได้เดินทางไปในเขตแออัดของเมืองเพื่อช่วยเหลือตำรวจในการปะทะกับกลุ่มคนไข้วิกลจริตจากสถานพักฟื้นอาร์กแฮม ซึ่งได้รับการปล่อยตัวโดยสหพันธ์แห่งเงา เครน (ซึ่งตอนนี้เรียกตนเองว่า หุ่นไล่กา หรือ สแกร์โครว์) ซึ่งเป็นหนึ่งในคนไข้เหล่านั้นได้เข้าทำร้ายดอวส์ที่เดินทางมามอบยาถอนพิษ ให้กับกอร์ดอน แต่ดอวส์สามารถป้องกันตัวไว้ได้ แต่เมื่อคนไข้คนอื่น ๆ เริ่มติดตามเธอเข้ามา แบทแมนก็มารับตัวเธอไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและเปิดเผยอัตลักษณ์ที่แท้จริงของเขาให้เธอทราบ

แบทแมนได้มอบหมายให้กอร์ดอนนำรถแบทโมไบล์ของเขาไปหยุดการเดินทางของรถไฟฟ้าที่ บรรทุกเครื่องยิงคลื่นไมโครเวฟไปสู่จุดศูนย์กลางระบบประปาของเมือง บนรถไฟฟ้า แบทแมนได้ขึ้นไปต่อสู้กับราส์อีกครั้ง เมื่อราส์เสียท่า แบทแมนจึงได้หลบหนีออกจากรถไฟ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กอร์ดอนใช้มิสไซล์จาก แบทโมไบล์ยิงโค่นเสาค้ำรางรถไฟฟ้าพอดี ส่งผลให้ราส์และรถไฟฟ้าขบวนนั้นตกลงมายังพื้นและระเบิดไปพร้อมเครื่องยิง คลื่นไมโครเวฟในที่สุด

หลังเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไป แบทแมนก็กลายเป็นวีรบุรุษของสาธารณะ เวย์นได้ซื้อหุ้นของเวย์นเอนเตอร์ไพรซส์คืนมาจนสามารถควบคุมองค์กรทั้งหมด ได้และแต่งตั้งฟอกซ์ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทนเออรล์ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถจะปรองดองความรักกับดอวส์ได้อย่างสนิทใจ เนื่องจากชีวิตสองด้านของเขาระหว่างความเป็นเวย์นและความเป็นแบทแมน

ท้ายเรื่อง กอร์ดอน ที่ขณะนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นร้อยตำรวจโท ได้เรียกแบทแมนมารับทราบเกี่ยวกับอาชญากรคนใหม่ โดยมีหลักฐานในที่เกิดเหตุเป็นไพ่โจกเกอร์ กอร์ดอนกล่าวว่า อาชญากรผู้นี้ "หลงใหลมายา" เหมือนกับแบทแมน เมื่อรับทราบข้อมูลทั้งหมด แบทแมนก็สัญญาว่าจะสืบสวนหาตัวอาชญากรผู้นี้ให้ กอร์ดอนกล่าวทิ้งท้ายว่าเขายังไม่ได้ขอบคุณในสิ่งที่แบทแมนทำลงไป ซึ่งแบทแมนได้กล่าวตอบว่า "คุณไม่ต้องทำเช่นนั้น" ก่อนที่เขาจะบินออกไปสู่ความมืดมิด

ตัวละครและนักแสดง


* บรูซ เวย์น/แบทแมน แสดงโดย คริสเตียน เบล และ กัส เลวิส (แสดงเป็นบรูซ เวย์น ตอนอายุ 8 ปี)
มหาเศรษฐีพันล้านแห่งเมืองกอตแทม ผู้ซึ่งเสียบิดามารดาไปจากการถูกสังหารโดยโจรจี้ปล้นตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาออกท่องเที่ยวไปในโลกกล้วเป็นเวลาหลายปีเพื่อ ค้นหาวิธีที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรม เมื่อเขากลับมาสู่เมืองกอตแทม ในยามค่ำคืน เขาได้กลายเป็นแบทแมน ผู้ที่คอยปกป้องเมืองอย่างลับ ๆ จากเหล่าร้ายต่าง ๆ

ในการคัดเลือกผู้แสดงเป็นแบทแมนภาคนี้ ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ได้วางตัวนักแสดงเอาไว้จำนวนหนึ่ง เช่น บิลลี ครูดับ, เจค จิลเลนฮาล, ฮิวจ์ แดนซี, โจชัว แจ็กสัน, เอียน ไบลีย์ และซิลเลียน เมอร์ฟี เป็นต้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกที่แท้จริง คือ คริสเตียน เบล โดยได้รับเลือกเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546)[2] เบลแสดงความสนใจที่จะเล่นบทนี้ตั้งแต่ช่วงที่ผู้กำกับภาพยนตร์ ดาร์เรน อาร์นอฟสกี วางแผนว่าจะสร้างภาพยนตร์แบทแมนตามฉบับของเขาขึ้นมา[3] เบลรู้สึกว่าภาพยนตร์แบทแมนเรื่องก่อนหน้านั้นสนใจตัวละครแบทแมนน้อยเกินไป แต่กลับทุ่มเทความสำคัญให้กับตัวละครวายร้ายเสียมากกว่า[4]

โนแลนกล่าวถึงเบลว่า "เขาเป็นคนที่มีความสมดุลระหว่างด้านมืดกับด้านสว่างที่เด่นชัดอย่างที่เรากำลังตามหาอยู่"[5] ส่วนเดวิด เอส. โกเยอร์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์กล่าวว่า ขณะที่นักแสดงบางคนสามารถแสดงเป็นบูรซ เวย์น หรือแบทแมนที่ยิ่งใหญ่ (ด้านเดียว) ได้ เบลสามารถแสดงเป็นแบทแมนที่มี 2 บุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่งได้[6] โดยเบลได้อธิบายว่า ในเรื่องนี้เขาต้องแสดงเป็นบรูซ เวย์น ถึง 4 อารมณ์ด้วยกัน ได้แก่ 1) เป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความแค้น 2) สวมบทบาทเป็นแบทแมนที่เกรี้ยวกราดเดือดดาล 3) แสร้งทำเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่โง่เง่าเพื่อปกปิดตัวตน และ 4) เป็นผู้ใหญ่ที่ค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิต[7] ความไม่ชอบชุดแบทแมนของเบลที่ใส่แล้วร้อนเป็นประจำ ยิ่งทำให้เบลเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกทั้งสี่ได้ดีขึ้น โดยเขาได้กล่าวว่า "ชุดแบทแมนสื่อความหมายถึงความน่ากลัว และ (เวลาคุณใส่มัน) คุณจะกลายเป็นสัตว์ร้ายในชุดนั้น อย่างที่แบทแมนควรจะเป็น ไม่ใช่แค่คนที่ใส่ชุดอยู่ แต่ (ต้องกลายเป็น) สัตว์ประหลาดอีกชนิดหนึ่งไปเลย"[8]

เนื่องจากเบลได้ลดน้ำหนักไปเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมแสดงภาพยนตร์เรื่อง หลอน...ไม่หลับ (The Machinist) ก่อนหน้าการถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาจึงไปจ้างผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนสส่วนตัวมาช่วยเพิ่มน้ำหนักให้แก่เขาเป็นจำนวนหนึ่งร้อยปอนด์ ภายในเวลา 2 เดือน เพื่อให้ร่างกายพร้อมในการรับบทบาทแบทแมน ในช่วงแรก การเพิ่มนำหนักของเขาเป็นไปด้วยดี แต่หลังจากที่เขาตระหนักว่าการมีเรือนร่างที่ใหญ่โตไม่น่าจะเหมาะสมกับการ เป็นแบทแมนที่อาศัยความเร็วและการวางกลยุทธ์เป็นหลัก เขาจึงตัดสินใจลดกล้ามเนื้อบางส่วนที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นลง[6] ส่วนเรื่องของการวางท่าทางต่าง ๆ ในภาพยนตร์ เบลได้ศึกษาจากภาพวาดและการ์ตูนแบทแมนเพื่อนำมาเป็นต้นแบบ[8]

นอกจากคริสเตียน เบล ที่มารับบทบาทของบรูซ เวย์น วัยหนุ่มแล้ว ก็ยังมีกัส เลวิส ที่มารับบทบาทของบรูซ เวย์น วัยเด็กเมื่อมีอายุ 8 ปี อีกด้วย

* อัลเฟรด เพนนีเวิร์ท แสดงโดย ไมเคิล เคน

หัวหน้าคนรับใช้ประจำตระกูลเวย์นตั้งแต่รุ่นบิดามารดาของบรูซ เวย์น ซึ่งหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว อัลเฟรดก็ได้แสดงความภักดีด้วยการเลี้ยงดูบรูซ เวย์น ต่อ เขาคือคนที่บรูซสนิทสนมและไว้วางใจมากที่สุด โนแลนได้มอบบทบาทนี้ให้กับไมเคิล เคน เนื่องจากเขารู้สึกว่าเคนมีองค์ประกอบที่สามารถแสดงเป็นพ่อเลี้ยงได้[6]

แม้ว่าในภาพยนตร์จะพรรรนาถึงปูมหลังของครอบครัวของอัลเพรดไว้ว่า ทำหน้าที่รับใช้ตระกูลเวย์นมาหลายรุ่นหลายสมัย เคนก็ยังสร้างปูมหลังเพิ่มเติม โดยก่อนที่อัลเฟรดจะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้รับใช้ เขาได้ทำงานให้กับหน่วยรบพิเศษทางอากาศมา ก่อน ซึ่งหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ โทมัส เวย์น ก็ได้เชิญเขามาทำงานด้วย เพราะ "เขาต้องการหัวหน้าคนรับใช้ แต่ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าคนรับใช้ทั่วไป..."[9]

* เฮนรี ดูคาร์ด/ราส์ อัลกูล แสดงโดย เลียม นีสัน

แม้ว่าจะเรียกตัวเองว่า "เฮนรี ดูคาร์ด" แต่แท้จริงแล้วเขาคือ "ราส์ อัลกูล" ตัวร้ายของเรื่อง เขาคือผู้นำกลุ่มสหพันธ์แห่งเงาและผู้ฝึกสอนบรูซ เวย์น ให้รู้จักศิลปะป้องกันตัวแบบนินจิสึ

โกเยอร์แสดงความรู้สึกต่อตัวละครตัวนี้ว่า เขามีความซับซ้อนมากที่สุดในบรรดาตัวละครตัวร้ายทั้งหมดของการ์ตูนชุดแบทแมน โดยเขาได้นำราส์ อัลกูล ไปเปรียบกับอุซามะห์ บิน ลาดิน แล้วกล่าวว่า "เขาไม่ได้บ้าหรือหมกมุ่นอยู่กับความแค้นเหมือนกับตัวร้ายตัวอื่นในเรื่องแบ ทแมน ที่จริงแล้วเขาพยายามจะเยียวยาโลกใบนี้ แต่วิธีการที่เขาเลือกใช้ ดันเป็นวิธีที่หยาบกระด้างและอันตรายมากเท่านั้นเอง"[10]

ในด้านของเลียม นีสัน ผู้ที่สวมบทบาทนี้ ในตอนแรกเขาได้รับเลือกให้มารับบทเป็นผู้ฝึกสอนของบรูซ เวย์น เท่านั้น แต่หลังจากที่มีการเปิดเผยข่าวว่า เขาจะต้องแสดงเป็นตัวร้ายของเรื่องด้วย ก็ทำให้เกิดความประหลาดใจในหมู่นักวิจารณ์และผู้ชมภาพยนตร์อย่างมาก[6]

* แรเชล ดอวส์ แสดงโดย แคที โฮล์มส์

เธอเป็นเพื่อนของบรูซ เวย์น ตั้งแต่เด็ก ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอัยการเขตของเมืองกอตแทม และคอยต่อสู้กับการคอร์รัปชั่นในเมือง ในตอนแรก โกเยอร์ตั้งใจจะใส่ตัวละคร ฮาร์วีย์ เดนต์ ลงไปแทนแรเชล แต่ทางคณะผู้สร้างก็เปลี่ยนใจเสียก่อน โดยได้กล่าวว่า "เราไม่สามารถทำให้ฮาร์วีย์ (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ทูเฟส ตัวร้ายอีกตัวในการ์ตูนแบทแมน) เป็นความยุติธรรมได้"[11]

โนแลนกล่าวถึงโฮล์มส์ว่า เขาค้นพบ "ความอบอุ่นอันมหาศาลและแรงดึงดูดทางอารมณ์อันยิ่งใหญ่" ในตัวเธอ และยังรู้สึกว่า "เธอมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุของเธอเอง...ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นแก่นที่นำไปสู่ความคิดที่ว่า แรเชลคือบางสื่งที่เป็นตัวแทนของสำนึกผิดชอบชั่วดีของบรูซ"[12]

* ดร. โจนาทาน เครน/เดอะสแกร์โครว์ แสดงเป็น ซิลเลียน เมอร์ฟี

นักจิตเภสัชวิทยาที่ทำงานให้กับสถานพักฟื้นอาร์กแฮม เขามักใช้สารพิษชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์หลอนประสาทให้เกิดความกลัว และหน้ากากหุ่นไล่กาของเขา เพื่อข่มขู่คนอื่น ๆ และเพื่อศึกษาความกลัวและโรคที่เกี่ยวกับความกลัวต่าง ๆ

ในการเตรียมตัว ซิลเลียน เมอร์ฟี ผู้แสดง ได้หาหนังสือการ์ตูนที่ มีตัวละครสแกร์โครว์มาอ่านหลายเล่ม และนำไปถกเถียงกับโนแลนเพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวละครสแกร์โครว์ใน ภาพยนตร์ เมอร์ฟีได้อธิบายว่า "ผมไม่ต้องการภาพลักษณ์ของหุ่นไล่กาแบบในเรื่องวอร์เซล กัมมิดจ์ (นิยายเด็กของอังกฤษที่ เล่าถึงหุ่นไล่กาที่พูดได้และเดินได้) เพราะสแกร์โครว์ในแบทแมนไม่เก่งในด้านการใช้กำลังเอาเปรียบ เขามีความสนใจในการควบคุมจิตใจและอะไรที่สามารถทำได้นอกจากนั้นมากกว่า"[13]

* จ่าเจมส์ กอร์ดอน แสดงโดย แกรี โอลด์แมน

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ ฉ้อฉลที่เหลืออยู่ไม่กี่คนในเมืองกอตแทม เขามีสายใยพิเศษกับบรูซ/แบทแมน เพราะเขาเคยปฏิบัติหน้าที่และดูแลบรูซในคืนที่พ่อและแม่ของบรูซถูกฆาตกรรม

แต่เดิมนั้น คริส คูเปอร์ ได้รับเลือกให้มาแสดงในบทบาทนี้ แต่ก็ถูกปฏิเสธไปเพราะเขาต้องการจะใช้เวลากับครอบครัวมากกว่า[14] ส่วนโอลด์แมนนั้น ในช่วงแรก ทางโนแลนต้องการให้เขาแสดงเป็นตัวละครตัวร้าย[15] แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจให้มาแสดงเป็นตัวละครฝ่ายดีในบทนี้แทน โดยโอลด์แมนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่[16]

โอลด์แมนกล่าวถึงการมาแสดงในบทจิม กอร์ดอน ว่า "ผมได้รวบรวมหลักต่าง ๆ ของภาพยนตร์เรื่อง นี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าของครอบครัว ความกล้าหาญและความเห็นใจ และความตระหนักในเรื่องถูกและผิด ดีและเลว และความยุติธรรม เข้าด้วยกัน และทำมันให้กลายเป็นรูปธรรม" ส่วนโกเยอร์กล่าวถึงโอลด์แมนว่า เขามีส่วนคล้ายกับกอร์ดอนที่วาดโดย เดวิด มัซซุกเกลลี ในหนังสือการ์ตูนแบทแมน : เยียร์วัน อย่างมาก[6]

* ลูเซียส ฟอกซ์ แสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน

พนักงานระดับสูงของเวย์นเอนเตอร์ไพรซส์ที่ถูกลดชั้นมาทำงานในแผนกวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาวิจัยทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลและชีวเคมี ฟอกซ์ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณืต่าง ๆ แก่บรูซเพื่อให้สำเร็จภารกิจต่าง ๆ ของแบทแมน หลังจากที่บรูซกลับมาเป็นเจ้าของเวย์นเอนเตอร์ไพรซส์ ฟอกซ์ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท

สำหรับมอร์แกน ฟรีแมน นั้น โกเยอร์ถือว่าเขาเป็นตัวเลือกแรกที่จะให้มารับบทบาทนี้[6]

* คาร์ไมน์ ฟัลโคนี แสดงโดย ทอม วิลคินสัน

เจ้าพ่ออาชญากรไร้ความปราณี ผู้ควบคุมสังคมของคนนอกกฎหมายและผู้มีอำนาจหลาย ๆ คนในเมืองกอตแทม

* วิลเลียม เออรล์ แสดงโดย Rutger Hauer

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไร้ศีลธรรม ผู้ดูแลกิจการของเวย์นเอนเตอร์ไพรซส์ช่วงที่บรูซหายตัวไป

* ราส์ อัลกูล (ตัวปลอม) แสดงโดย เค็ง วะตะนะเบะ

ผู้ที่ถูกเฮนรี ดูคาร์ด ว่าจ้างให้แสดงเป็นราส์ อัลกูล แทนเขา เพื่อปกปิดอัตลักษณ์ที่แท้จริงเอาไว้

* นักสืบอาร์โนลด์ แฟรสส์ แสดงโดย มาร์ก บูน จูเนียร์

ตำรวจฉ้อฉลผู้เป็นคู่หูของกอร์ดอนในกรมตำรวจเมืองกอตแทม เขาทำงานให้ฟัลโคนีในการคุ้มกันการลักลอบขนถ่ายยาเสพติด

* โทมัส และ มาร์ทา เวย์น แสดงโดย ลินัส รอช และ ซารา สจวต

บิดามารดาที่แสนดีของบรูซ เวย์น ที่ถูกสังหารโดยโจ ชิลล์ เมื่อบรูซอายุได้ 8 ปี

* โจ ชิลล์ แสดงโดย ริชาร์ด เบรก

อาชญากรผู้สังหารบิดามารดาของบรูซ

* คนไร้บ้าน แสดงโดย Rade Šerbedžija

ชาวเมืองกอตแทมคนสุดท้ายที่พบบรูซก่อนที่เขาจะหนีออกจากเมืองไป และเป็นคนแรกที่ได้เห็นการปรากฏตัวของแบทแมน

การพัฒนา


ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) บริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์สได้ว่าจ้างคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ผู้กำกับภาพยนตร์จากเรื่อง ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ (Memento, ค.ศ. 2000) ให้มากำกับภาพยนตร์แบทแมนเรื่องนี้ แต่ในขณะนั้นยังไม่ถูกตั้งชื่อ[17] หลังจากนั้นสองเดือน ก็ได้เซ็นสัญญากับเดวิด เอส. โกเยอร์ ให้มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์[18] โนแลนด์กล่าวถึงการทำงานครั้งนี้ว่า เขาตั้งใจที่จะนำเสนอภาพยนตร์แบทแมนในรูปแบบใหม่ โดย "จะสร้างเรื่องราวที่เป็นต้นกำเนิดของตัวละคร ที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน" โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจในส่วนนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง ซูเปอร์แมน (Superman, ค.ศ. 1978) ของ ริชาร์ด ดอนเนอร์ ที่เน้นการเล่าเรื่องถึงการเติบโตของตัวละครเป็นหลัก[3] นอกจากนั้น เขายังจะนำความเป็นมนุษย์และ ความเหมือนจริงมาใช้เป็นพื้นฐานอีกด้วย ตามที่เขาได้กล่าวว่า "โลกของแบทแมนจะต้องมีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงที่สามารถรับรู้ได้ ร่วมสมัย และฝืนจินตนาการความเป็นวีรบุรุษเกินจริง" ส่วนโกเยอร์กล่าวว่า เป้าประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการทำให้ผู้ชมสนใจทั้งตัวแบทแมนและบรูซ เวย์น[19]

เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูนแบทแมนตอนต่าง ๆ ได้แก่ แบทแมน : เดอะแมนฮูฟอลส์ เรื่องสั้นที่เล่าถึงการเดินทางทั่วโลกของบรูซ เวย์น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดฉากที่บรูซในวัยเด็กพลัดตกลงไปในบ่อน้ำ ในช่วงแรก ๆ ของภาพยนตร์[20] เนื้อเรื่องของ แบทแมน : เดอะลองฮัลโลวีน ประพันธ์โดย เจฟ โลบ และวาดโดย ทิม เซล ก็ส่งอิทธิพลต่อโกเยอร์ในการประพันธ์บทภาพยนตร์ และการออกแบบตัวละคร คาร์ไมน์ ฟัลโคนี[20] ส่วน แบทแมน : ดาร์กวิคทอรี (Batman : Dark Victory) ภาคต่อของภาค เดอะลองฮัลโลวีน ก็ส่งอิทธิพลมาถึงภาพยนตร์ไม่แพ้กัน[21] นอกจากนั้น โกเยอร์ยังได้นำรายละเอียดหลาย ๆ ส่วนจาก แบทแมน : เยียร์วัน ของ แฟรงก์ มิลเลอร์ ทั้งโครงเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาตำรวจคอร์รัปชันที่บีบบังคับให้จ่าจิม กอร์ดอน และเมืองกอตแทมต้องการคนอย่างแบทแมนมาช่วยเหลือ เนื้อเรื่องตอนที่บรูซหายตัวไปจากเมืองกอตแทมอย่างขาดสติ[22] รวมไปถึงรายละเอียดของตัวละครจิม กอร์ดอน[20] มาใส่ไว้ในบทภาพยนตร์ด้วย

การถ่ายทำ

ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ โนแลนไม่ได้ใช้ผู้ช่วยผู้กำกับเพื่อเก็บภาพในมุมมองที่สอดคล้องกันกับเขา[23] การถ่ายทำเริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ที่ภูเขาน้ำแข็งวัตนาโจคุลในประเทศไอซ์แลนด์ เพื่อถ่ายทำฉากของประเทศภูฏาน[23] ที่นี่ ทีมงานต้องสร้างฉากหมู่บ้าน ถนนเดินเท้า และประตูหน้าของวัดของราส์ อัลกูล[23][24] อุปสรรคในการถ่ายทำฉากนี้อยู่ที่สภาพอากาศที่มีทั้งลมความเร็ว 121 กิโลเมตร/ชั่วโมง (75 ไมล์/ชั่วโมง)[23] ฝน และหิมะที่น้อยกว่าที่ต้องการ วิธีการถ่ายทำในฉากนี้ วัลลี พิฟ์สเตอร์ ได้ใช้เครนและกล้องมือถือในการถ่ายทำ[24]

ในการหาแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง ซูเปอร์แมน และภาพยนตร์ทำเงินเรื่องอื่น ๆ ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1970/ต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980 โนแลนได้ตัดสินใจถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในอังกฤษ โดยเฉพาะที่สตูดิโอเชปเพอร์ตัน เสียเป็นส่วนใหญ่[25] ฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทำที่นี่คือฉากถ้ำค้างคาว ซึ่งมีความยาว 76 เมตร (250 ฟุต) กว้าง 37 เมตร (120 ฟุต) และสูง 12 เมตร (40 ฟุต) พร้อมด้วยเครื่องสูบน้ำ 12 เครื่องที่แนทาน โครวลีย์ ผู้ออกแบบงานสร้าง ติดตั้งเอาไปเพื่อใช้สร้างน้ำตก 12,000 แกลลอน และโขดหินที่หล่อมาจากถ้ำจริง ๆ[26] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 ทางวอร์เนอร์บราเธอร์สได้เช่าโรงเก็บเครื่องบินที่คาร์ดิงตัน เบดฟอร์ดไชร์ เพื่อที่จะใช้ถ่ายทำฉากรถไฟฟ้าในเดือนเมษายนปีเดียวกัน[27] ที่นี่ ทางกองถ่ายได้สร้างรางรถไฟรางเดี่ยวบนฉากยาว 270 เมตร (900 ฟุต)[26]

สำหรับฉากคฤหาสน์เวย์น ทางกองถ่ายได้เลือกหอคอยเมนต์มอร์ จากอีก 20 สถานที่ที่คัดเลือกไว้ ในการถ่ายทำ โดยโนแลนและโครวลีย์เปิดเผยว่าที่เลือกที่นี่เพราะชอบพื้นสีขาวของมัน ที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับบิดามารดาของบรูซ[28] ส่วนอาคารที่ถูกเลือกเป็นฉากสถานพักฟื้นอาร์กแฮมคืออาคารของสถาบันแห่งชาติเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ ในมิลล์ฮิลล์ บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน อังกฤษ[29] และสถานีรถไฟเซนต์แพนครัสกับสถานีจ่ายน้ำแอบบีย์มิลล์สก็ถูกใช้เป็นฉากภายในอาคารของอาร์กแฮม[26] ส่วนฉากห้องพิจารณาคดีนั้น ทีมงานได้ใช้มหาวิทยาลัยลอนดอนเป็นสถานที่ในการถ่ายทำ[26] ในบางฉาก เช่นฉากขับรถไล่ล่า[23] ก็ถ่ายทำในเมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นที่ถนนแวคเกอร์ไดรฟ์และอาคาร 35 อีสต์แวคเกอร์[30] นอกจากนั้น ทางการของชิคาโกยังอนุญาตให้ยกสะพานถนนแฟรงคลินเพื่อถ่ายทำฉากเส้นทางที่เข้าสู่เขตแออัดของเมืองกอตแทมด้วย[23]

แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความดำมืด แต่โนแลนก็ต้องการที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถดึงดูดใจผู้ชมได้ ทุกรุ่นทุกวัย โดยเขาได้กล่าวว่า "ผมคิดว่าหนังของพวกเรามีเนื้อหาค่อนข้างเข้มข้นรุนแรงไปสำหรับเด็ก ๆ อยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ไม่อยากที่จะกันเด็กอายุ 10-12 ปี ไม่ให้มาดูหนังเรื่องนี้ เพราะตอนผมเด็ก ผมก็รักที่จะดูหนังประเภทที่ผมทำเหมือนกัน" ด้วยเหตุนี้ โนแลนจึงตัดสินใจไม่ถ่ายทำฉากโชกเลือดใด ๆ เพื่อให้เหมาะสำหรับเยาวชน[12]

ภาพยนตร์

สำหรับงานออกแบบของ แบทแมน บีกินส์ โนแลนได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ไซไฟคัลต์เรื่อง เบลดรันเนอร์ (Blade Runner, ค.ศ. 1982) ซึ่งเขาได้กล่าวถือโลกในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เป็นบทเรียนอันน่าสนใจแห่งการเสาะแสวงหาและอธิบายจักรวาลที่เชื่อถือได้และไร้ขอบเขต"[31] โนแลนได้ถ่ายทอด เบรดรันเนอร์ ให้วัลลี พิฟ์สเตอร์ และผู้กำกับภาพอีก 2 คนได้ชม เพื่อแสดงให้พวกเขาได้เห็นและเข้าใจทัศนคติและรูปแบบที่เขาต้องการจากภาพยนตร์เรื่องนี้

เมืองกอตแทม

ในการออกแบบเมืองกอตแทม โนแลนและแนทาน โครว์ลีย์ ได้ร่วมกันคิดหาภาพลักษณ์ของเมืองกอตแทมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา โดยพิจารณาจากแบบจำลองของเมืองที่โครว์ลีย์สร้างไว้ในโรงจอดรถของโนแลน[28] ทั้งสองออกแบบเมืองกอตแทมโดยเน้นที่ความใหญ่และทันสมัย สามารถสะท้อนสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบที่เมืองนี้ได้รับอิทธิพล ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเมือง ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองต่าง ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเมืองนิวยอร์ก ชิคาโก และกรุงโตเกียว โดยเมืองหลังสุดนั้น ถือเป็นต้นแบบของการออกแบบฉากรถไฟฟ้ารางเดี่ยวที่อยู่ในเมือง นอกจากนั้น พวกเขายังนำภาพความแออัดของเมืองกำแพงเกาลูน ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่ถูกรื้อถอนไปแล้วเมื่อ ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) มาใช้ออกแบบฉากชุมชนแออัดในเมืองกอตแทมอีกด้วย[32]